Daeng Seafood Restaurant Review

This is the restaurant that many people have been talking about. This restaurant is famous for its fresh seafood. It's very popular. If you want to avoid the crowd, you must arrive before noon.

Well, the first thing that they brought to our table are two kinds of seafood sauces...I'm not thrilled with the taste of this sauce though. In my opinion, this is not the kind of sauce I like...it lacks the taste of coriander flavour. If you mix the ingredients together using the mortar or the blender, it will make the sauce taste much better. Anyway, you don't really need a lot of sauces since the food here are so fresh. This dish called "Kung-Ob-Krue". Once you taste it, you can tell how fresh the shrimp is... Actually, we want to order "Kung-Ob-Woon-Sen" but they don't have it on the menu. How sad?



This is one of the dishes that you should avoid if you have the coresterol problem like me...Anyway, I have an excuse to eat this delicious dish since the taste of squids are so good. This dish called "Stir fried squid with garlic sauce".



This is the best way to cook this kind of crab. This way you can enjoy the taste of the sweet crab meat. This one called "Steamed Crab". One kilogram of the whole crab costs about 700 THB. Now, it comes to one of my favorite dish for this meal. The dish called "pra-ja-ra-med in fish sauce". It really worth the price. The fish is so big. I think it weights almost 2 kilograms!



If you love shrimp, you got to order this dish. Stir fried shrimp with garlic sauce is one of my mom's favorite dishes since she couldn't eat fish. She said fishes are too smelly. Since the restaurant uses a high quality of ingredient, there are no needs to add too many flavours to the dish.



This is the reason that we pick this restaurant. It is the best time to enjoy the taste of thai mackerels (pra-too). We couldn't decide which one we should order between this style of cooking or the other style. (I think they called "pra-too-sa-teah") Almost every tables ordered that one. We will do it next time then :P This is a simple dish but tastes very nice. My mom also order one more for to-go :) This is a shrimp fried rice. Anyway, I personally think that it would taste better if they use rice that kept overnight to make the fried rice. This dish called "Stired fried clams with chilli paste". We are not disappointed at all with the tastes. The sauce was mixed very well. It tastes not too sweet, not too spicy.


We didn't plan to order this one but we saw the table next to us order the dish looks similar to this one. We want to order "Stir fried crab with curry sauce" but got this one instead. Anyway, the taste of the crab meat is so sweet...another decent dish. ==================================================== Restaurant: Daeng Seafood Mae Klong Average prices/person: 600-800 THB Recommended Dishes: Fried pomfret with fish sauce (Pla-Ja-Ra-Med-Tod-Nam-Pla), Fried sea bass with fish sauce (Pla-Kra-Pong-Tod-Nam-Pla), Steamed shrimp with salt (Kung-Ob-Krue), Stir fried shrimp with garlic (Kung-Tod-Kra-Tiem), Stir fried squid with garlic sauce (Pla-Mung-Tod-Kra-Tiem), Shrimp fried rice (Kao-Pad-Kung) ====================================================

Pai Trip
















This is one of the famous spots in Pai. Almost everyone have taken pictures in front of this coffee shop :)




Day 1:

พวกเรามาถึงสนามบินกันตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อมาขึ้นเครื่องให้ทันเวลา 06:40 a.m. โดยปกติแล้ว Air Asia จะปิด Counter ที่ให้ check-in ค่อนข้างเร็วกว่า TG เราเลยต้องรีบมาถึงสนามบินตั้งแต่ 05:30 a.m. แต่หลังจาก check-in กันเรียบร้อยแล้ว คณะเราก็สบายๆ กันมาก จนทำเกือบวิ่งไปไม่ทันเครื่องออก เนื่องจาก Gate ของ Air Asia อยู่ไกลมากๆ

เดินทางด้วย Air Asia รอบนี้ต้องขอชมว่า On-Time มากๆ ตั้งแต่ Air Asia ออก "On Time Guarantee" Policy เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ก็ยังไม่ได้ยินเสียงบ่นจากคนรอบข้างเกี่ยวกับเครื่อง Delay เป็นอันว่าอดได้เงิน 1,800 บาทจาก Air Asia

เราแวะไปที่ร้านเฮือนเพ็ญ (ข้างกองเมือง เชียงใหม่) เพื่อรับประทานอาหารเช้า ซึ่งร้านนี้เป็นที่รู้จักดีว่าทำอาหารเมืองอร่อย มีอาหารให้เลือกหลากหลายและที่สำคัญเปิดตั้งแต่เช้าเลย แม้ว่าอาหารบางอย่างยังทำไม่เสร็จ แต่อาหารหลักๆ อย่างพวกข้าวซอย น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง ขนมจีนน้ำเงี้ยว ไส้อั่วก็มีให้เลือกรับประทานกันแต่เช้า อันนี้ได้ยินมาจากคนเหนือว่าโดยปกติแล้ว คนเหนือเค้าจะไม่รับประทานอาหารเมืองกันตอนเช้า แต่ว่าหลังจากที่คำนวณดูแล้วคณะเราไม่น่าจะมีเวลามาแวะร้านนี้อีก คงต้องขอเริ่มเช้าวันนี้ด้วยอาหารเมืองกันเลย



ไส้อั่วร้านนี้ รสเข้มข้น ทานคู่กับน้ำพริกหนุ่มเข้ากันได้ดีมากๆ ที่เชียงใหม่มีร้านที่ทำไส้อั่วอร่อยอยู่หลายร้าน ครั้งที่แล้วที่พี่สาวซื้อมาฝากก็อร่อยแต่จำชื่อไม่ได้ ถ้ารู้แล้วจะมา update ข้อมูลอีกทีค่ะ

สั่งอาหารไปมา พึ่งรู้สีกว่าเราสั่งอาหารมาเยอะมาก แต่ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ เพราะมันหมดเร็วมาก :) เลยเก็บรูปภาพเฉพาะที่เป็นโจทย์ของการเล่นเกมส์ในทริปนี้ จานนี้เรียกว่ายำขนุนค่ะ รสออกเปรี้ยวนิดนึง อีกจานที่ชอบรู้สึกว่าจะเป็นไก่ทอด ซึ่งต้องบอกว่าร้านนี้มีฝีมือในการทอดไก่ กรอบนอกนุ่มในจริงๆ
จริงๆ แล้วเราไม่ได้สั่งจานนี้ เพราะทางร้านยังนึ่งไม่เสร็จ แต่เราอยากเห็นหน้าตาว่าเป็นอย่างไร พี่ที่ร้านก็น่ารักมาก ยินดีแกะให้เราดูว่าข้าวกันจิ๊นมันมีหน้าตาอย่างงี้นี่เอง เลยถือโอกาสขอถ่ายรูปพี่ที่ร้านพร้อมกับอาหารจานนี้ ไว้ถ้าไปร้านนี้อีกทีคราวหน้าจะต้องกลับไปทานจานนี้แน่นอนค่ะ

หลังจากนั่งรถไปตามถนนที่คดเคี้ยว ประมาณ 40 k.m. เราก็เห็นป้ายน้ำตกหมอกฟ้า จริงๆ แล้วสถานที่นี้ไม่ได้อยู่ใน Original Plan แต่เห็นชื่อแล้วคิดว่า ต้องสวยแน่เลย เราก็เลยต้องขอจอดถ่ายรูปซะหน่อย นี่เป็นป้ายด้านหน้าของบริเวณทางเข้าน้ำตกหมอกฟ้า จากจุดนี้ต้องเดินไปประมาณ 500 เมตร ซึ่งระหว่างทางก็จะมีที่พักให้นั่งพักเหนื่อย รวมทั้งห้องน้ำและร้านค้าเล็กๆ

ถ้าใครแวะซื้ออาหารติดมาด้วยจากเชียงใหม่ คิดว่าน่าจะมานั่ง Picnic บริเวณนี้ได้นะคะ บรรยากาศดูร่มรื่นทีเดียว แต่หลังรับประทานเสร็จแล้ว ช่วยกันเก็บเศษอาหารให้เรียบร้อยด้วยนะคะ จะได้ทำให้สถานที่นี้คงสภาพเดิมได้อีกนานๆ

ทางเดินไปน้ำตกทำไว้ดีมาก น่าจะมีการส่งเสริมให้คนมาเที่ยวน้ำตกนี้กันเยอะๆ เมืองไทยยังมีที่เที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย น่าเสียดายที่หลายคนยังไม่ค่อยรู้จักสถานที่เหล่านี้เท่าไร

สังเกตุดูรูปนี้ดีๆ จะเห็นรุ้งกินน้ำเล็กๆ อยู่ด้านล่างของน้ำตก เป็นภาพที่ประทับใจภาพนึงสำหรับ trip นี้เลย ถ้าใครขับผ่านมาทางเส้นที่จะไปปาย ขอแนะนำให้แวะเที่ยวที่นี่ก่อนนะคะ


หลังจากนั้นเราก็ขับรถต่อไปตามถนนเส้นหลัก (1095) เพื่อแวะน้ำพุร้อนโป่งเดือดที่ป่าแป๋ ซึ่งห่างจากตัวอำเภอปายประมาณ 60 k.m. จากถนนเส้นหลักต้องขับเข้าไปตามถนนเส้นไม่ใหญ่มากประมาณ 6.5 k.m.


ป้ายบอกระยะทางไปยังจุดที่นักท่องเที่ยวควรแวะบริเวณนี้ เผื่อมีบางคนเปลี่ยนใจไม่อยากเดิน ก็สามารถนั่งรถส่วนตัวไปยังบริเวณอาบน้ำแร่ได้เลย ที่อาบน้ำแร่อยู่บริเวณบ้านพักของอุทยานนี้
เห็นป้ายห้ามนี้ ต้องถ่ายมาให้ดูกันเลยว่าจริงๆ แล้ว เค้าไม่อนุญาตให้นำไข่ไปต้มบริเวณน้ำพุร้อนค่ะ จะได้ไม่ต้องซื้อเข้ามากันค่ะ

นอกจากที่พักของอุทยานเองก็เห็นมีคนมากาง tent กัน ถ้าอยากสัมผัสธรรมชาติเต็มที่ ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ


ทางเดินเป็นไม้ ทำไว้ค่อนข้างดีทีเดียว สำหรับผู้หญิงถ้ารองเท้ามีส้น อาจจะเดินยากนิดนึงนะคะ

บริเวณนี้เป็นน้ำพูร้อน สังเกตจากควันที่ขึ้นมาน่าจะร้อนทีเดียว


ที่พักสวยดีค่ะ (ดูจากวิวด้านบน) รู้สึกว่าเค้าจะมี onsen ส่วนตัวสำหรับบ้านพักแต่ละหลังด้วย ต้องเช็คข้อมูลอีกทีนะคะ ถ้าใครสนใจจะไปพัก ตรงบริเวณนี้เรียกว่า ดอยม่อนเหลี่ยม (Doi Mon Lium) อยู่ที่ระดับความสูง 1250 เมตร จากระดับน้ำทะเล จากป้ายเค้าเขียนว่า "บริเวณนี้เป็นที่อยู่อาศัยของกวางผา ซึ่งเป็นสัตว์ป่าหายากชนิดหนี่ง" ปัจจุบันไม่รู้ว่ายังเหลืออยู่บ้างหรือไม่ทั้งที่เป็นสัตว์อนุรักษ์




หลังจากนี้เราก็ขับรถกันต่อเพื่อเข้าตัวเมืองปายเพื่อแวะทานอาหารกลางวันกันที่ ร้านบ้านเบญจรงค์ ซึ่งหาข้อมูลกันเองทาน internet ซึ่งร้านมันเงียบมาก ดูไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ แมลงวันเยอะมากๆ อาหารที่สั่งไม่มีจานไหนประทับใจ เหมือนขายไม่ค่อยดี ของจึงไม่สด? ก่อนเข้าที่พักวันนี้เราแวะทานกาแฟที่ร้าน Coffe In Love คนเยอะมากๆ หามุมถ่ายรูปสวยๆ ที่ไม่มีคนค่อนข้างยาก



เราพักกันที่ The Quarter ตลอด 2 คืนที่พักที่ปาย ที่ตั้งของ resort อยู่ในตัวเมืองปาย ใกล้โรงพยาบาล resort สวย ห้องพักใช้ได้ สะอาด แต่บรรยากาศสู้ resort ที่อยู่ริมน้ำไม่ได้ อีกอย่างที่นี่ไม่มี hot spring สำหรับให้แช่เหมือนบาง resort

มีสระว่ายน้ำแต่คงไม่มีใครคิดจะว่ายช่วงนี้ อากาศค่อนข้างเย็นทีเดียว บริเวณนี้จะเป็นที่ที่เรามาปล่อยโคมลอยกันคืนนี้

เป็นครั้งแรกที่ได้ลองปล่อยโคม การประกอบร่างไม่ยากอย่างที่คิด โคมที่ปล่อยลอยขึ้นไปสูงทีเดียว สงสัยเหมือนกันว่ามันจะลอยไปได้ไกลถึงไหน


คืนนี้ทานอาหารที่ resort ซึ่งเราสั่งอาหารกันไปหลายอย่าง ต้องขอชมว่าอาหารที่นี่อร่อยทุกอย่างเลย จริงๆ แล้วไม่ต้องไปทานที่ไหนไกลเพราะที่ resort ทำอาหารได้อร่อยกว่าร้านอาหารที่ปายร้านอื่นๆ ยกเว้นที่หมู่บ้านจีนยูนนาน ที่เราติดใจอาหารจีนที่นั่นรวมทั้งขาหมูน้ำแดงด้วย Ceasar Salad ของที่นี่ใส่กุ้งลวกมาด้วย แปลกดี


จานนี้คือ เส้นจันทน์ผัดไทย ใส่ถั่วงอกแบบเดียวกับที่ร้านแม่ศรีเรือนเลย เป็นถั่วงอกต้นเล็กๆ เราชอบถั่วงอกแบบนี้มากกว่าต้นใหญ่ซะอีก ผัดไทยที่นี่ทำออกมาได้รสเข้มข้น


จานนี้เหมือนจะเป็น Steak ราดด้วยซอสเห็ด เสริฟพร้อมมันฝรั่งทอด เนื้อไม่เหนียว ซอสรสชาดดี




หมูแดดเดียวก็เนื้อนุ่ม ใส่งาขาวด้วย ทำให้หอมยิ่งขึ้น





อาหารจานเดียวอื่นๆ เช่น ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ก็ทำออกมาได้ดีเช่นกัน







ทานอาหารเย็นเสร็จ อิ่มมากๆ ต้องแวะไปเดินย่อยอาหารต่อที่ตลาดกลางคืนในตัวเมืองปาย ที่นี่มีร้านค้าน่ารักๆ เต็มไปหมด ประเภทอาร์ตๆ ที่นี่มักมีแต่ artist มาเปิดร้านเต็มไปหมด ร้านแต่ละร้านก็ขายของคล้ายๆ กัน สามารถแวะจิบชาอินเดียอร่อยๆ หรือจะแวะส่ง postcard ก็มี stamp น่ารักๆ ให้เลือกหลายแบบ


หลังเดินเล่นเสร็จ เราแวะปล่อยโคมลอยกันก่อนแยกย้ายกลับไปนอนหลับพักผ่อน หมดแรงกันไปตามๆ กัน



Day 2 & Day 3:

วันนี้ตื่นแต่เช้าเพื่อแวะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ กิ่วลม ปางมะผ้า ไปถึงเกือบถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นไม่ทัน ลงมาจากรถ อากาศหนาวมาก น่าจะอยู่ที่ราวๆ 5-10 c ดีที่เอาถุงมือติดไปด้วย

แถวนั้นมีมันกับไข่เผาด้วย ทานตอนหนาวๆ นี่ยิ่งอร่อยขึ้นไปอีก เราไปยืนช่วยคนขายมันเผา จะได้อาศัยเตาร้อนๆ ช่วยให้หายหนาวมือได้หน่อย

กลับลงมาจากปางมะผ้า แวะทานอาหารเช้าที่ resort ก่อนไปแวะวัดน้ำฮู ที่เป็นที่นับถือของคนที่นี่ พี่ๆ ที่ทีมบางคนขี่จักรยานจาก resort ไปถึงวัดเลย แต่ขากลับสงสัยจะเหนื่อย ต้องแบกจักรยานกลับไปกลับรถตู้ด้วย หลังจากนั้นเราก็ไปเที่ยวกันต่อที่หมู่บ้านจีนยูนนานซึ่งขับรถไปไม่ไกล เพราะปายเป็นเมืองเล็กๆ ทุกที่อยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่ เราแวะทานอาหารกลางวันกันที่นี่ เราติดใจขาหมูและอาหารอื่นๆ ของร้านอาหารที่มีอยู่ร้านเดียวในหมู่บ้านจีนแห่งนี้ สามารถดู review ร้านอาหารได้ต่างหากค่ะ ทานเสร็จก็ต้องไปเล่นชิงช้าโบราน ที่เขียนว่าต้องเพราะเป็นโจทก์ในเกมส์ของ trip นี้ เล่นไปก็ภาวนาว่าอย่าให้หลุดเป็นชิ้นๆ ตอนที่แกว่งขึ้นไปด้านบน นึกแล้วหวาดเสียวจริงๆ เลย

หลังจากเหนื่อยกันทั้งวัน เราแวะกลับไปพักผ่อนที่ resort เพื่อไปใช้บริการ spa ของที่ The Quarter นวดใช้ได้เลย ราคาไม่แพงเพราะเรามี voucher ฟรีที่ได้มาจากงานไทยเที่ยวไทย คืนนี้แวะไปทานข้าวกันที่ร้านอาหารแถวริมแม่น้ำปาย จำชื่อร้านไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าไม่ได้ประทับใจอะไรมาก

เช้าวันที่ 3 เราแวะเดินเล่นแถวๆ ริมแม่น้ำปายที่มี guest house ตั้งเรียงรายอยู่หลายแห่ง สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติจริงๆ ก็น่าจะมาพักกันแถวนี้ ราคาก็น่าจะไม่แพงอีกด้วย

ตอนเช้าๆ อากาศดีจริงๆ มีคนมาล่องแพด้วย แต่เราไม่ได้ลองกัน หลังจากนั้นเราแวะไปตักบาตรกันแถวๆ ตลาดในเมืองปาย มีของขายเยอะแยะ จริงๆ ถ้าไม่ได้ทานข้าวเช้าที่ resort ก็น่าสนุกที่จะมาซื้อของทานแถวตลาด เข้ากับบรรยากาศเมืองปายดี ช่วงเช้าเราไม่ได้มี plan ไปไหนก่อนที่จะกลับเข้าเมืองเชียงใหม่เราก็เลยใช้เวลาทั้งครึ่งเช้าที่ร้านเล็กๆ ที่น้องในทีมไปค้นพบ เป็นร้านที่เราชอบกันมากๆ ในทริปนี้ พี่เล็กถ่ายรูปสวยมาก ทั้งทีมเราก็เลยใช้บริการถ่ายรูปของพี่เล็กกันหมด

นี่ถ้าไม่ต้องกลับวันนี้สงสัยคงจะนั่งต่อไปทั้งวัน ก็บรรยากาศร้านนี้น่านั่งเล่นจริงๆ อากาศก็ดีด้วย ไม่ร้อนเลย


หลังจากเราถ่ายรูปกันพอแล้ว ก็ได้เวลา check out จากโรงแรม เราแวะทานอาหารกลางวันกันที่ร้านส้มตำหน้าอำเภอ ที่เป็นร้านดังในเมืองปายที่ใครๆ ก็ต้องแวะกัน อาหารที่นี่เผ็ดมากๆ จริงๆ แล้วไม่แนะนำอย่างยิ่งกับการทานข้าวเหนียวก่อนที่จะต้องนั้งรถเป็นระยะเวลานานๆ ทางก็คดเคี้ยวมาก จนแต่ละคนเริ่มออกอาการ ต้องขอแวะข้างทางเพราะอาหารมันแทบจะออกมาทั้งหมด เลยต้องขอย้ายไปนั่งหน้าคู่กับคนขับแทน เกือบแย่เลย ไม่เอาอีกแล้วส้มตำ-ข้าวเหนียวถ้าต้องนั่งรถตู้แบบนี้

เนื่องจาก flight กลับกรุงเทพของเราค่อนข้างดึก เราก็เลยพอมีเวลาไปแวะทานอาหารเย็นที่ผาลาดตะวันรอน ก่อนไปดูการแสดงไฟกันต่อที่ chiang mai night safari กว่าจะกลับถึงกรุงเทพก็ค่อนข้างดึกพอสมควร เหนื่อยแต่ก็ใช้เวลาไปคุ้มค่าทั้ง trip นี้ ถ้ามีโอกาสก็อยากกลับไปเที่ยวที่ปายอีกซักครั้ง แต่คราวหน้าคงจะไม่ขอนั่งรถตู้อีกแล้ว บินไปจากเชียงใหม่น่าจะสะดวกกว่า
--------------------------------------------------------------