Family Trip@New Zealand DAY 11

DAY 11: April 21, 2008 (Mon)

วันนี้ต้องตื่นแต่เช้า เนื่องจากเราต้องบิน Domestic Flight จาก Christchurch ไปยัง Auckland เพื่อขึ้นเครื่องการบินไทยกลับเมืองไทย โดย Flight ของการบินไทยจะออกจาก Auckland เวลาประมาณบ่ายโมง ดังนั้นเราควรจะต้องไปถึงที่ Auckland ไม่ควรเกิน 10 โมงครึ่ง หลังจากไปถึงที่ Auckland ก็ยังพอมีเวลาให้ Shopping อีกพอสมควร หลังจากซื้อของเสร็จ เราก็ไปนั่งเล่นรอขึ้นเครื่องใน lounge ของการบินไทย อาหารและเครื่องดื่มที่นี่ก็มีให้เลือกมากมาย ที่ติดใจก็คงเป็นสลัดอกเป็ดของที่นี่ ทริปนี้ประทับใจหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นอาหาร ที่พัก และคน New Zealand ที่อัธยาศัยน่ารัก อีกทั้งสถานที่หลายๆ แห่งที่ไป ก็สวยงามมากๆ เป็นอีกประเทศหนึ่งที่คิดว่าจะกลับมาเที่ยวอีกถ้ามีโอกาสในอนาคต :)

Family Trip@New Zealand DAY 10

DAY 10: April 20, 2008 (Sun)


>> บริเวณด้านหน้าของ The Hermitage Hotel

วันนี้เราวางแผนจะไปนั่ง Helicopter เพื่อชมวิวบริเวณแถบนี้หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ อาหารเช้าที่เสริฟที่โรงแรมมีให้เลือกหลากหลายมากเนื่องจากเราเลือก Upgrade เป็น Cooked Breakfast เราจึงสามารถเลือกทานอาหารทั้งส่วนที่เป็น Cold Meat และ Hot Meal ที่เราแปลกใจมากๆ คือ อาหารเช้าที่นี่มีทั้ง Natto ข้าวญี่ปุ่น Miso Soup ผงโรยข้าวญี่ปุ่นให้เลือกรับประทานด้วย คาดว่านักท่องเที่ยวญี่ปุ่นน่าจะพักที่โรงแรมนี้เยอะ

>> ถ่ายจากห้องอาหารเช้าของ The Hermitage Hotel

>> Fireplace บริเวณ Lobby ของ The Hermitage Hotel

>> วิวของ Mount Cook บริเวณรอบๆ The Hermitage Hotel

วิวบริเวณรอบโรงแรมนี้ สวยงามเกินบรรยายเนื่องจากอยู่ในบริเวณ Aoraki/Mount Cook National Park ด้านหน้าของโรงแรมจะมีรูปปั้นของ Sir Edmund Hillary ซึ่งเป็นชาว New Zealand คนแรกที่พิชิตยอดเขา Mount Everest ที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งก่อนหน้านั้นก็ได้เคยพิชิตยอดเขาที่ Mount Cook มาแล้ว


>> วิวของ Mount Cook บริเวณรอบๆ The Hermitage Hotel

Aoraki/Mount Cook เป็นภูเขาที่สูงที่สุดของประเทศ New Zealand โดยยอดที่สูงที่สุดสูงถึง 3,754 เมตร โดยตั้งอยู่ในบริเวณของ Southern Alps ซี่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศนี้


>> ถ่ายกับผู้ช่วยนักบินของ Flight ที่เราจะขึ้น Helicopter กันในวันนี้


>> ภาพนี้มองลงมาจาก Helicopter

>> ภาพถ่ายจาก Helicopter

>> กำลังจะ Landing เพื่อจอด Helicopter ให้เราลงไปเดิน


>> ถ่ายรูปกับคุณแม่และพี่สาว

>> ถ่ายรูปกับนักบิน ดูตัวเราเล็กไปเลย


สถานที่ขึ้น Helicopter อยู่ในบริเวณ Glentanner Park โดย Flight ที่เราเลือกนั่งจะใช้เวลาสั้นที่สุดคือ 20 นาที โดย Helicopter จะลงจอดบริเวณ Zodiac Glacier ให้เราได้ลงไปเดินถ่ายรูปในบริเวณนั้น ซึ่งปกติแล้วจะต้องมีผู้โดยสารอย่างต่ำ 4 คน นักบินถึงจะทำการบินให้ แต่สงสัยว่าเค้าเองก็ไม่อยากเสียลูกค้าไป ก็เลยบินให้ทั้งๆ ที่มีแค่ 3 คน เพราะคุณพ่อไม่ยอมนั่งอีกในครั้งนี้เนื่องจากคุณพ่อเคยมานั่งที่นี่แล้ว ตอนแรกคุณแม่จะไม่ยอมนั่งแต่พวกเราก็พยายามคะยั้นคะยอให้ลองดู ถือเป็นประสบการณ์ที่น่าลองทำครั้งนึงในชีวิต คุณแม่เลยยอมนั่งในที่สุด บอกตามตรงว่ากลัวมากเหมือนกันเนื่องจากตัวเองก็เป็นโรคกลัวความสูงอยู่แล้ว และเวลาที่นักบินนำ Helicopter ขึ้น น่าจะเป็นช่วงที่น่ากลัวที่สุด แต่ก็ดีใจที่ได้ลองทำดู วิวจาก Helicopter มองลงมา ก็เป็นอีกมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ถ้ามีโอกาสมาเที่ยวที่ Mount Cook ขอแนะนำให้ลองนั่งดู

เราขับรถย้อนกลับมาทางเดิมบน HWY-80 ซึ่งด้านซ้ายมือ (ขากลับ) จะเป็นทะเลสาบ Pukaki ซึ่งเป็นทะเลสาบที่เกิดจาก Tasman River ซึ่งเป็นน้ำที่ละลายมาจาก Tasman Glacier และ Hooker Glacier ที่อยู่ใกล้ๆ กับ Aoraki/Mount Cook ทำให้น้ำในทะเลสาบมีสีที่ค่อนข้างพิเศษ (distinctive blue color)


>> บริเวณรอบๆ ของ Mount Cook Alpine Salmon Farm

>> กำลังให้อาหารปลา Salmon อยู่ค่ะ

>> ปลา Salmon แย่งกันกินอาหาร ดูจากน้ำที่แตกกระจาย

>> ในบ่อนี้มีปลา Salmon ตัวอ้วนๆ เต็มไปหมด

>> ที่ Farm มีปลา Salmon สดๆ ให้เลือกซื้อหลายแบบ รวมทั้ง Sashimi ที่แล่กันสดๆ

>> High Quality Grade Sashimi ปลาสด รสชาติอร่อย

>> ถ่ายรูปป้ายพร้อมราคามาให้ดูกันค่ะ

จาก HWY-80 เราขับต่อไปทาง HWY-8 East ที่จะไปทาง Lake Tekapo เราแวะที่ Mount Cook Alpine Salmon ซึ่งเป็น Farm ปลา Salmon ที่ใช้น้ำจากทะเลสาบ Pukaki นั่นเอง ที่นี่เราจะสามารถเดินชมฟาร์ม ซึ่งเจ้าของก็จะมีอาหารปลาขาย สำหรับให้นักท่องเที่ยวซื้อไปเลี้ยงปลาในฟาร์ม (เข้าใจคิดจริงๆ) อีกทั้งมีเนื้อปลา Salmon สดๆ ขายด้วย มาเที่ยวครั้งนี้เราก็เตรียม Wasabi กับ Soy Sauce ติดมาด้วยเพราะกลัวว่าถ้าจะมาแวะชิมปลา Salmon ดิบ น่าจะต้องจิ้มกับอะไรนิดนึง แต่ปรากฎว่าที่ร้านเค้ามี Wasabi กับ Soy Sauce ขายอีกต่างหาก ราคาก็ไม่ได้แพงมาก ถ้ารู้อย่างงี้คงไม่ขนเอามาด้วยจากเมืองไทย ปลา Salmon สดมากๆ เพราะเป็นปลาที่จับมาจากฟาร์มโดยตรง เนื้อปลาก็รสหวานมากๆ


>> Church of the Good Shepherd

>> อีกฝั่งของ Church of the Good Shepherd คนมาเที่ยวที่นี่เยอะมากๆ

>> Lake Takepo ใกล้ๆ กับ Church of the Good Shepherd

>> Sheepdog Statue

หลังจากนั้นเราก็ขับรถไปกันต่อเพื่อไปแวะที่ Lake Tekapo ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมมาแวะ โดยทะเลสาบนี้เป็นทะเลสาบที่เกิดจากการละลายของธารน้ำแข็งเช่นกัน (นอกเหนือจาก Lake Ohau และ Lake Pukaki) บริเวณข้างทะเลสาบจะมีโบสถ์ที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุดของ New Zealand ที่ชื่อ “Church of the Good Shepherd” โบสถ์นี้สร้างในปี 1935 และในบริเวณไม่ไกลจากโบสถ์จะมีรูปปั้นสุนัข (Sheepdog Statue) ซึ่งสร้างเป็นอนุสรณ์ ให้กับน้องหมา ซึ่งเค้าถือว่าการพัฒนาฟาร์มแถบนี้จะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าปราศจากการช่วยเหลือของน้องหมา

เมืองที่เราแวะกันเมืองสุดท้ายก่อนขับเข้า Christchurch ก็คือเมือง Geraldine ซึ่งเราได้แวะรับประทานอาหารกลางวันเบาๆ ที่ Café บริเวณนั้น เรารู้สึกว่าพายที่ร้านที่เมือง Springfield จะอร่อยกว่าร้านนี้ มื้อกลางวันไม่ได้ทานอะไรมาก อาจเพราะยังอิ่มมาจากอาหารเช้าและปลา Salmon ที่แวะทานไม่นานมานี้ จากนั้นเราก็ไม่ได้แวะที่ไหนอีกจนกระทั่งขับเข้าเมือง Christchurch



>> บริเวณ Park ในเมือง Christchurch
>> ข้างหลังคือ Avon River



เนื่องจากที่พักคืนนี้อยู่ออกไปจากตัวเมือง ใกล้ๆ กับ Airport ซึ่งเราจะขึ้นเครื่องบินช่วงเช้าวันรุ่งขึ้น อีกทั้งเราถึง Christchurch เร็วกว่าที่คาดไว้ เลยพอมีเวลาไปเดินเล่นในบริเวณ Park ใกล้ๆ กับแม่น้ำเอวอน เพื่อรอเวลาทานอาหารมื้อเย็นก่อนที่จะเข้าที่พักของคืนนี้

อาหารมื้อสุดท้ายของ Trip นี้ เราวางแผนจะไปทานอาหารประเภท Teppanyaki ที่ชื่อ At Tonys Japanese Restaurant ซึ่งเป็นร้านที่หาข้อมูลมาจาก Internet อีกแล้ว โดยมีคนแนะนำว่ารสชาติใช้ได้ เราไปถึงร้านค่อนข้างเร็ว ช่วงนั้นยังไม่มีลูกค้าเข้ามาเท่าไร แต่พนักงานก็แจ้งว่าวันนี้คนจองมาเกือบเต็มแล้ว เนื่องจากเราไม่ได้จองมาเราจึงไม่สามารถไปนั่งบริเวณหน้า Counter ที่เป็นที่ยอดฮิตที่คนจะชอบจองไปนั่งก่อน ไม่น่าเชื่อว่าร้านจะ Popular มากขนาดนี้ ร้านนี้ขนาดไม่ใหญ่มาก จะมีบริเวณ Counter ที่ลูกค้าสามารถนั่งดูเชฟปรุงอาหารตรงหน้าได้เลย เหมือน Counter ร้านอาหาร Teppanyaki ทั่วไป เมนูจะสามารถสั่งเป็น Set หรืออาหารจานเดี่ยว ซึ่ง Set ก็จะมาพร้อมกับข้าวและซุป น้ำจิ้มก็จะเป็นน้ำจิ้ม 3 ช่องสำหรับรับประทานกับ Teppanyaki เราลองสั่งทั้งเนื้อและ Seafood ปรากฏว่า อร่อยทุกอย่างเลย ข้าวผัดกระเทียมก็รสชาติดี การย่างทำได้กำลังดี ไม่ overcooked เพราะฉะนั้นเนื้อกุ้งจะออกมารสชาติยังหวานอยู่ เนื้อก็นุ่มมาก ทีเด็ดของร้านนี้น่าจะเป็นที่น้ำจิ้ม เป็นร้านที่ประทับใจอีกร้านนึงของ Trip นี้

Family Trip@New Zealand DAY 9

DAY 9: April 19, 2008 (Sat)

>> Lake Wakatipu ซึ่งจะเป็นทะเลสาบที่เราจะล่องเรือกันในเช้าวันนี้

>> เรือที่เห็นจอดอยู่ไกลๆ คือ TSS Earnslaw ในทะเลสาบมีน้องเป็ดว่ายอยู่หลายตัว


>> ถ่ายจากฝั่งระหว่างเดินไป Steamer Wharf

เช้าวันนี้ เราพอมีเวลาเหลือก่อนที่จะไปล่องเรือกลไฟโบราณ (TSS Earnslaw) ช่วงเช้าวันนี้ ที่ขึ้นเรือวันนี้อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่พัก สามารถเดินไปได้ แต่ถ้าเป็นช่วงที่ไม่ใช่หน้าหนาวน่าจะเดินง่ายกว่านี้ ในบริเวณไม่ไกลจากที่ขึ้นเรือ (Steamer Wharf) จะมี Flea Market ซึ่งมีของขายหลายประเภท น่าจะมีเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ สำหรับการล่องเรือวันนี้จะล่องในทะเลสาบ Wakatipu โดยเรือจะวิ่งไปจนสุดที่ Walter Peak High Country Farm แล้ววกกลับมายังที่จุดเริ่มต้น ระยะเวลาล่องเรือทั้งหมดประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ที่ Walter Peak เองก็มีกิจกรรมมากมายให้ทำ เช่น ชมการแสดงสุนัขต้อนแกะ การตัดขนแกะ รวมทั้งสามารถเลือกรับประทานอาหารในสไตล์ Barbecue เป็นต้น เนื่องจากวันนี้เราวางแผนจะขับรถไปค้างคืนที่ Mount Cook จึงทำได้แค่ล่องเรือในช่วงเช้า

>> บริเวณเครื่องจักรของ TSS Earnslaw ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปดูได้ใกล้ๆ

>> มีคำอธิบายบอกไว้ว่าเรือลำนี้ขับเคลื่อนโดยเครื่องจักรคู่ (Twin Screw Steamer)


>> ที่เห็นเป็นรูปวาดอยู่สองฝั่ง เป็นคำอธิบายการทำงานของเครื่องจักร


>> ช่วงที่ไปยังไม่ค่อยมีคน เลยสามารถถ่ายรูปกับ TSS Earnslaw โดยไม่มีคนอื่นเป็นฉากประกอบ


TSS Earnslaw เป็นเรือกลไฟลำสุดท้ายที่เหลือจากหลายลำที่เคยแล่นอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ โดยเริ่มใช้งานครั้งแรกเมื่อปี 1912 มีความยาวโดยประมาณ 168 ฟุต ความกว้าง 24 ฟุต เรือลำนี้รู้จักกันในนาม “Lady of the Lake” และขับเคลื่อนโดยเครื่องจักรคู่ (Twin Screw Steamer) ซึ่งมีกำลังขับ 500 แรงม้า รวมทั้งยังคงใช้หลังงานไอน้ำจากถ่านหินดั้งเดิม ซึ่งผู้โดยสารสามารถเดินชมการทำงานของเครื่องจักรได้อย่างใกล้ชิดจากบริเวณทางเดิน

บนเรือมีอาหารและเครื่องดื่มจำหน่าย รวมทั้งห้องน้ำที่สะอาดใช้ได้ทีเดียว เราติดใจ Cheese Puff ที่ขายบนเรือ ซึ่งจุดเด่นของ Cheese Puff นี้คือ เนื้อแป้งที่นุ่ม รสชาติกำลังดี ไม่หวาน ได้รสของ Cheese ที่รสเข้มข้น ต่างจาก Cheese Puff ที่เคยทานมา โดยเค้าจะเสริฟมาร้อนๆ พร้อมกับเนย เวลารับประทานเราก็ผ่าขนมเป็น 2 ซีก และฝานเนยบางๆ วางไปบนขนม รอให้เนยละลายเล็กน้อยแล้วค่อยรับประทาน อร่อยสุดยอดมากๆ น่าเสียดายที่ไม่ได้ซื้อติดมาด้วย เนื่องจากคิดว่ามันคงเป็นขนมที่สามารถหาซื้อได้ตามร้าน Café ทั่วๆ ไป แต่เราก็ยังหา Cheese Puff ที่รสชาติเหมือนกับที่ขายบนเรือไม่เจอ


>> บริเวณด้านหน้าของ Walter Peak High Country Farm


>> ที่เห็นเป็นแนวภูเขายาวๆ คือ The Remarkables Ranges


>> อีกมุมของ Walter Peak High Country Farm


>> บ้านเรือนบริเวณรอบๆ Lake Wakatipu


โดยส่วนใหญ่ผู้โดยสารจะมาเที่ยวที่ Walter Peak ดังนั้นช่วงขากลับ เราจึงสามารถถ่ายรูปกันได้แบบสบายๆ ที่นั่งก็มีเหลือให้เลือกนั่งตามใจชอบ ไม่ต้องไปแย่งกับคนอื่นๆ เราสามารชื่นชมวิวบริเวณรอบๆ ทะเลสาบ Wakatipu ยามใบไม้เปลี่ยนสี เป็นวิวที่สวยมากเนื่องจากเราจะสามารถเห็น The Remarkables Ranges เป็นฉากอยู่ด้านหลัง


>> ไม่ได้ถ่ายรูปกับ Kiwi ตัวจริง เลยถ่ายคู่กับ Giant Kiwi แทน

หลังจากล่องเรือเสร็จ เราแวะกลับไปที่ Kiwi Birdlife Park ซึ่งเราไม่ได้ชมกันเมื่อวานนี้ แต่หลังจากที่สอบถามรายละเอียดค่าเข้าชม รวมทั้งระยะเวลาที่ต้องใช้ในการเดินชม เราก็เปลี่ยนใจว่าเราคงจะไม่ดู Live Kiwi ที่ตั้งใจจะดูในตอนแรก เนื่องจากเราต้องแวะสถานที่อื่นๆ อีกหลายที่


>> Shotover River Canyons ซึ่งจะเป็นที่เล่น Shotover Jet จะเห็นว่าแม่น้ำตื้นมากๆ

ขับออกมาจาก Queenstown เราขับไปทาง Gorge Road เพื่อไปแวะสถานที่สำหรับเล่น Shotover Jet โดยจะเล่นในบริเวณ Shotover River Canyons ซึ่งเป็นแม่น้ำระหว่างช่องเขาที่คดเคี้ยวไปมา น่าจะตื่นเต้นกว่าการเล่น Shotover บริเวณที่เป็นแม่น้ำเปิดหรือทะเลสาบกว้างๆ เรือถูกออกแบบมาเป็นพิเศษให้สามารถวิ่งได้บนน้ำที่ลึกเพียง 10 cm ที่ความเร็วถึง 85 km per hour และสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ถึง 14 คนในลำเดียวกัน

น่าเสียดายที่ฝนตกตอนที่เราไปถึง จริงๆ แล้วเค้าก็ยังคงเปิดทำการเป็นปกติแต่อากาศหนาวมากๆ เราก็เลยคิดว่าเอาไว้มาเล่นรอบหน้าละกัน ถ้ามีโอกาสกลับมาเที่ยวที่นี่อีก คุณพ่อเล่าให้ฟังว่าเคยมาลองเล่นที่นี่แล้ว สนุกมากๆ แต่ก็ตื่นเต้นทีเดียว

>> หน้าร้าน Arrow Thai Foods ในเมือง Arrowtown


>> จานนี้น่าจะเป็นลาบไก่

>> จานนี้เป็นผัดกระเพราไก่ค่ะ


>> จานนี้เป็นผัดกระเพราเนื้อค่ะ


>> ไม่ต้องบอกน่าจะเดาได้ค่ะ ของชอบของทุกคน ไขเจียวหมูสับ (ราคาจานละ 300 บาท)

>> เต้าหู้ทรงเครื่อง ดูไม่เหมือนกับเต้าหู้ทรงเครื่องที่เคยทาน แต่รสชาติใช้ได้เลยค่ะ
ขับรถออกมาจากเมือง Queenstown เราตั้งใจจะแวะพักทานอาหารกลางวันกันที่เมือง Arrowtown ซึ่งเราติดใจ Hamburger ที่ลองชิมครั้งที่มาแวะในตอนแรก แต่น่าเสียดายที่ร้านปิด เราก็เลยเปลี่ยนไปอุดหนุนคนไทยที่ร้านอาหารไทยในบริเวณใกล้ๆ กันที่มีชื่อเรียกว่า Arrow Thai Foods ร้านนี้มีทั้งส่วนที่เป็นที่นั่งด้านนอก เหมาะสำหรับนั่งรับลมในช่วงอากาศสบายๆ แต่วันนี้อากาศค่อนข้างหนาวเราเลยเลือกที่จะนั่งข้างในร้าน เราสั่งอาหารไทยแบบง่ายๆ เช่น ผัดกระเพรา ผัดผัก เต้าหู้ทรงเครื่อง ไขเจียว เป็นต้น ซึ่งรสชาติทำออกมาได้ Authentic ไม่ผิดเพี้ยนจากรสชาติที่ควรจะเป็น เนื่องจากพ่อครัวร้านนี้เป็นคนไทย ดังนั้นจึงปรุงรสชาติได้ถูกใจคนไทยด้วยกัน อีกอย่างเราไม่ได้ทานอาหารไทยมาหลายมื้อแล้ว เพราะตั้งแต่ไปเจอร้านอาหารไทยที่ไม่อร่อยในเมือง Wanaka เลยไม่ค่อยกล้าเข้าร้านอาหารไทยเท่าไร แต่ร้านนี้ทำรสชาติออกมาได้ดี


>> Lindis Pass อยู่ระหว่างทางไปเมือง Twizel

จากเมือง Arrowtown ก็จะผ่านเมือง Cromwell ซึ่งเป็นเส้นทางเดิมกับขาไป จนกระทั่งจะถึงทางที่แยกไปทาง HWY-8 โดยเราจะขับไปทาง HWY-8 ที่จะผ่าน Lindis Pass ซึ่งจะต้องขับไปตามช่องแคบของหุบเขา ทางค่อนข้างชัน หลังจากนั้นก็จะถึงเมือง Omarama และ Twizel ตามลำดับ แรกสุดเราตั้งใจจะหาที่พักที่ Twizel แต่ไม่ค่อยมีโรงแรมให้เลือกมากมายในเมืองนี้เนื่องจากเป็นเมืองเล็ก ดังนั้นเราจึงเปลี่ยนไปพักที่ Mount Cook แทน ทางไป Mount Cook จะต้องขับขึ้นไปตาม HWY-80 ซึ่งจะเป็นทางแยกออกไปจาก HWY-8

เราแวะกันที่ Twizel เพื่อเติมน้ำมันและซื้อของที่ Supermarket ก่อนที่จะขับรถต่อไปที่โรงแรมที่พักของคืนนี้ เราจะพักกันที่ The Hermitage ซึ่งเป็นโรงแรมเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงของ Mount Cook ที่โรงแรมนี้จะมีที่พัก 3 ประเภทหลักๆ คือ Hotel Motel และ Chalet โดยส่วนที่เป็น Motel และ Chalet จะแยกอยู่อีกบริเวณหนึ่งซึ่งเหมาะสำหรับมาพักแบบครอบครัว โดย Motel และ Chalet จะมีบริเวณที่สามารถทำอาหารได้ด้วย รวมทั้งมีอุปกรณ์เครื่องครัวที่จำเป็นเตรียมไว้ให้ด้วย แรกสุดตั้งใจพักที่ Hotel แต่เนื่องจากช่วงที่ไปเป็นช่วง Peak จึงทำให้ห้องพักที่นี่ราคาสูงกว่าราคาปกติถึง 2 เท่า (ประมาณ 450 NZ Dollars สำหรับ 1 ห้อง) ถ้าจอง 2 ห้อง ราคาที่จะต้องจ่ายสูงถึง 900 NZ Dollars ในคืนนี้เราเลยเปลี่ยนไปพักที่ Chalet แทน โดยลูกค้าที่เข้าพักที่ Motel และ Chalet จะได้รับ Coupon ซึ่งสามารถนำไปซื้อของที่ร้านขายของที่ระลึกบริเวณโรงแรม ร้านอาหาร หรือจะใช้ในการ upgrade อาหารเช้าจาก Continental Breakfast เป็น Cooked Breakfast ได้ด้วย

>> วิวบริเวณ The Hermitage Hotel ที่เห็นด้านหลังคือ Mount Cook

>> เจ้านก 2 ตัวนี้มาต้อนรับเราที่ที่พักเลย ไม่กลัวคนแม้แต่นิดเดียว

ด้านหลังของห้องพักจะเป็นภูเขา Aoraki/Mount Cook ซึ่งเราสามารถเห็นภูเขาได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังมีนกท้องถิ่นบริเวณนั้นมาต้อนรับถึงห้องพัก เข้าใจว่าเจ้านก 2 ตัวนี้น่าจะคุ้นเคยกับแขกที่มาพักที่โรงแรมแป็นอย่างดี เนื่องจากมันไม่มีทีท่าว่าจะกลัวคนเลย

Family Trip@New Zealand DAY 8

DAY 8: April 18, 2008 (Fri)

วันนี้เป็นวันที่เราตื่นเช้าที่สุดของ Trip นี้ เนื่องจากเราต้องออกเดินทางจากที่พักตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เพื่อให้ไปทันรอบล่องเรือชม Milford Sound ในเวลา 9 โมงเช้า ก่อนจะออกเดินทางจากเมือง Te Anau แนะนำให้เติมน้ำมันให้เต็มถัง เนื่องจากจะไม่มีปั๊มน้ำมันให้แวะเติม ระหว่างทางจาก Te Anau ถึง Milford Sound ซึ่งมีระยะทางประมาณ 119 km ระยะเวลาการขับรถจะใช้เวลาโดยประมาณ 2 ชั่วโมง การขับรถที่ New Zealand เราควรขับตามคำแนะนำของป้ายอย่างเคร่งครัด เนื่องจากที่นี่ค่อนข้างเข้มงวดในเรื่องของ Speed Limit และถนนที่เกาะใต้เองก็จะเป็นถนนที่ลัดเลาะไปตามภูเขา อีกทั้งบางเส้นทางเป็นถนนที่ต้อง Share กันทั้งรถที่สวนมาและรถไฟ ซึ่งเป็นถนนเพียงเลนเดียว ซึ่งจะมีเป็นช่วงๆ ที่ผ่านภูเขา หรือแม่น้ำ ดังนั้นก็จะต้องผลัดกันไประหว่างรถที่สวนมาอีกทางหนึ่ง แต่ก็ต้องคอยระวังรถไฟที่อาจจะผ่านมาด้วย


>> Homer Tunnel ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Milford Sound

แนะนำให้แต่งตัวให้อุ่นที่สุดสำหรับการล่องเรือในวันนี้ เนื่องจากช่วงที่เราไปเป็นช่วงเข้า Winter ดังนั้นลมทะเลจะค่อนข้างเย็นมาก ทางไปจะผ่านจุดชมวิวหลายจุด ซึ่งเราวางแผนจะแวะในตอนขากลับเนื่องจากต้องขับย้อนมาทางเดิมเพื่อไปยัง Queenstown ระหว่างทางไป Milford Sound เราจะต้องลอดอุโมงค์ที่ชื่อว่า Homer Tunnel ซึ่งเป็นอุโมงค์ลอดภูเขาที่มีระยะทางถึง 1219 เมตร ถนนในอุโมงค์จะเป็น Slope ลาดลงไปทาง Milford Sound





>> บริเวณ Milford Wharf มีเรือนำเที่ยวอยู่หลายเจ้า ราคาไม่ค่อยแตกต่างกันมาก


>> ลำที่จอดอยู่ข้างลำแดงจะเป็นลำที่เรานั่งในวันนี้

เนื่องจากรถส่วนตัว จะมีที่จอดแยกต่างหากซึ่งจะใช้เวลาเดินจากที่จอดรถไปที่ Milford Wharf Visitor Centre ประมาณ 15 นาที พวกที่มากับทัวร์สามารถลงที่หน้า Visitor Centre ได้เลย (พวกรถบัสสามารถขับเข้าไปรับ-ส่งผู้โดยสารได้ถึงหน้าประตูทางเข้า Visitor Centre) โดยปกติแล้วเราจะต้องมา check-in ประมาณ 20 นาที ก่อนที่เรือจะออก ดังนั้นควรจะต้องเผื่อเวลาไว้พอสมควร ระยะเวลาการล่องเรือ จะอยู่ที่ 1 ชั่วโมง 40 นาที โดยประมาณ ข้อดีของการล่องเรือในช่วงเช้าก็คือ จะมี Continental Breakfast บริการบนเรือ (Self Service) อาหารก็จะมีขนมปัง 2-3 ประเภท แฮม ชีส แยม เนย และเครื่องดื่มร้อนๆ

>> รูปนี้ถ่ายจากบนเรือเห็นยอดเขาอยู่ไกล แต่จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร


>> ที่เห็นไปน้ำไหลลงมาจากภูเขาคือน้ำตก ซึ่งดูเหมือนเล็กเนื่องจากถ่ายจากระยะไกลมาก

เราสามารถนั่งเลือกที่นั่งได้ตามใจชอบ เนื่องจากอากาศหนาวมากๆ เราเลยไม่ค่อยอยากจะเดินออกไปชมวิว ข้างนอกเรือเท่าไร นอกจากว่าเรือจะผ่านบริเวณที่เป็นน้ำตก (Stirling Falls) ซึ่งเราสามารถชมวิวได้ในระยะใกล้มากๆ วันนี้สงสัยอากาศหนาวเลยไม่มีแมวน้ำออกมานอนเล่นให้เห็น ถ้าโชคดีเราจะสามารถเห็นแมวน้ำ (Fur Seals) โลมา (Dolphins) หรือ เพนกวิน (crested penguins) ในบริเวณแถบนี้

>> น้ำตกนี้ชื่อว่า Stirling Falls


>> ทุกยอดเขาจะมีชื่อเรียกหมด แต่ถ่ายไปถ่ายมาจำไม่ได้ว่าชื่ออะไรบ้าง


Milford Sound คือ Fjord ที่มีความยาวถึง 15 km อยู่ในบริเวณ south west ของเกาะใต้ ประเทศ New Zealand โดยอยู่ในบริเวณของ Fiord National Park และบริเวณนี้ก็อยู่ในส่วนที่เรียกว่า Te Wahipounamu ซึ่งได้ถูกขึ้นทะเบียนอยู่ใน World Heritage List

>> ที่เห็นเป็นขาวๆ อยู่บนยอด คาดว่าน่าจะเป็นหิมะ


เรือจะวิ่งผ่านภูเขาที่มีชื่อเรียกตามรูปร่างของมัน เช่น The Lion หรือจะตั้งชื่อจุดเด่นของบริเวณนั้น รวมทั้งประวัติความเป็นมาของภูเขา เช่น Copper Point ที่มี Copper สะสมในปริมาณมาก รวมทั้งน้ำตกที่จะไหลมาจากภูเขาลงสู่ทะเล ที่เด่นๆ ก็จะมีน้ำตกที่ชื่อ Stirling Falls ที่เรือทุกลำต้องแวะเข้าไปใกล้ๆ และ Bowen Falls ที่สูงถึง 160 เมตร



>> นี่แหละที่เค้าเรียกว่า The Chasm


>> อีกมุมของ The Chasm


>> ถ้าอยากรู้ว่า The Chasm เกิดมาได้อย่างไร ต้องลองอ่านป้ายดูค่ะ


>> ระหว่างติดไฟแดงอยู่หน้า Homer Tunnel หิมะก็ตกลงมาปรอยๆ นี่เป็น first snow ของที่นี่เลยค่ะ

หลังจากเสร็จจากการล่องเรือ เราขับรถย้อนกลับไปทาง Te Anau เพื่อไปยัง Queenstown ซึ่งตลอดเส้นทางมีจุดให้แวะชมวิวมากมาย ช่วงที่เราขับรถย้อนกลับมาทาง Homer Tunnel และกำลังติดไฟแดงรอรถอีกฝั่งวิ่งสวนมา snow ก็ตกโปรยปรายลงมา เห็นคน New Zealand บอกว่านี่เป็น First Snow ของ Season นี้เลย เราโชคดีที่ได้เห็นพอดีเลย เลยจากบริเวณนี้มา snow ก็หยุดตก จุด Stop ที่เราจะแวะจุดแรกมีชื่อเรียกว่า The Chasm ซึ่งเจ้าของที่พักของคืนที่ผ่านมาแนะนำว่า ต้องแวะชมให้ได้ ซึ่งการจะไปดู The Chasm จะใช้เวลาเดินโดยประมาณ 20 นาที จะสามารถเห็น Cleddau River อยู่ด้านล่าง

มีนกประเภทหนึ่งซึ่งเป็นนกท้องถิ่น ซึ่งพบมากบริเวณแถบนี้มีชื่อเรียกว่า Keas เป็นนกที่ขี้สงสัย ไม่ค่อยกลัวชอบมาใกล้ๆ บริเวณรถที่จอดอยู่ แต่ที่นี่จะมีป้ายเตือนว่า ห้าม feed นกโดยเด็ดขาด เนื่องจากการทำเช่นนี้จะมีผลเสียต่อการอยู่รอดของมันเอง จาก The Chasm เราก็จะผ่านจุดแวะชมวิวมากมายเช่น The Divide, Key Summit, และ Lake Gunn แต่เราก็ไม่ได้แวะ จนกระทั่งมาถึง Knobs Flat ซึ่งเป็นจุดแวะพักสำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งจะมีห้องน้ำและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ที่จำเป็น รวมทั้งโทรศัพท์สาธารณะ จุดถัดไปที่เราแวะชื่อว่า Mirror Lakes ซึ่งเป็นทะเลสาบที่น้ำนิ่งมากๆ จนสามารถมองเห็นเงาสะท้อนของภูเขาที่อยู่ด้านหลังได้อย่างชัดเจน จากนั้นเราก็ขับตรงต่อไปยัง Te Anau เพื่อแวะรับประทานอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหารจีนที่เราติดใจกันเมื่อวานนี้ จากนั้นก็ขับตรงต่อไปยังเมือง Queenstown ที่จะเป็นที่พักของคืนนี้

>> ถ่ายรูปถนนระหว่างทางจากเมือง Milford Sound ย้อนกลับไปที่เมือง Te Anau


>> พยายามถ่ายรูปน้องแกะระหว่างขับรถผ่าน อ้วนท้วนน่ารักจริงๆ มีสัตว์อีกชนิดนึงที่นิยมเลี้ยง ซึ่งก็คือ Alpaca แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดูกัน

จากที่เราได้ค้นคว้าข้อมูลกันมาก่อนมาเที่ยวครั้งนี้ จะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่นึงที่คนนิยมมาเที่ยว จะอยู่ก่อนถึงเมือง Queenstown ประมาณ 12 km ที่ชื่อว่า Deer Park Heights แต่เนื่องจากเราหาทางเข้าไม่เจอ เราก็เลยไม่ได้แวะกัน Deer Park Heights จะเป็นคล้ายๆ กับสวนสัตว์เปิด มีสัตว์เป็นจำนวนมาก และยังคงเป็นจุดชมวิวของเมือง Queenstown และ Lake Wakatipu ที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง และสามารถมองเห็นวิวของ The Remarkables ranges ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งบริเวณนี้ยังเคยใช้เป็นฉากในหนัง Lord of the rings อีกด้วย น่าเสียดายที่ไม่ได้แวะชม

โรงแรมที่พักคืนนี้อยู่ในตัวเมือง Queenstown เลย (Novotel Gardens Hotel) จึงค่อนข้างสะดวกเวลาที่จะเดินเล่นซื้อของในเมืองหรือจะแวะไปขึ้น Skyline Gondola เพื่อชมวิวในยามหัวค่ำ เมือง Queenstown มีชื่อเสียงในเรื่องของ Adventure Activities (The 'Adventure Capital of the World') มาเที่ยวที่ Queenstown ในครั้งนี้ เราก็ตั้งใจว่าจะต้องลองเล่น Shotover Jet ซึ่งเพื่อนที่เคยมาก็แนะนำว่าน่าลองมากๆ ซึ่งจะต้องจองกันล่วงหน้าแต่เรากะว่าจะไปดูสถานที่กันก่อน ซึ่งถ้าพอมีเวลาเหลือในตอนเช้าก็จะทดลองนั่งดู


>> ถ่ายจากใน Gondola ระหว่างทางขึ้นไปยัง Bob's Peak


>> บริเวณทางเดินไปยังทางขึ้น Skyline Gondola ที่เมือง Queenstown


หลังจากที่ check-in เรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมตัวที่จะออกไปเดินเล่นชมเมือง Queenstown ซึ่งจะต้องเตรียมทั้งถุงมือ ผ้าพันคอและใส่เสื้อหนาวให้อุ่นเนื่องจากอากาศวันนี้หนาวมาก น่าจะอยู่ราวๆ 0-5 °C อีกทั้งเราตั้งใจว่าจะเดินไปเนื่องจากแต่ละที่ที่เราจะไปอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม ระยะทางจากโรงแรมไปที่ Skyline Gondola น่าจะใข้เวลาเดินโดยประมาณ 20 นาที แต่ก็เดินกันเหนื่อยพอสมควรเนื่องจากทางขึ้น Gondola อยู่บริเวณเนินเขา อีกทั้งต้องเดินขึ้นบันไดกันหลายขั้นทีเดียว นักท่องเที่ยวสามารถซื้อเฉพาะตั๋วที่จะนั่ง Gondola (ไป-กลับ) เพื่อขึ้นไปยัง Bob’s Peak หรือจะซื้อเป็นตั๋ว Gondola พร้อมกับบัตรรับประทานอาหารบนยอดเขาหรือบัตรชม Kiwi Haka Show บนยอดเขาจะมีเครื่องเล่นที่เรียกว่า Luge ที่เป็นที่นิยมของหลายๆ คน จะเป็นที่เลื่อนท้องแบนน้ำหนักเบา มีด้ามยาวๆ ให้จับสองข้างสำหรับเป็นคันบังคับทิศทาง โดยสามารถแล่นลงมาตามเนินที่อยู่บนยอดเขา โดยจะสร้างเป็นถนนต่างหากสำหรับเครื่องเล่นนี้ ซึ่งดูน่าสนุกทีเดียว แต่น่าจะเหมาะสำหรับการเล่นช่วงที่อากาศไม่หนาวอย่างนี้




>> ที่เห็นไปถนนด้านล่างคือ เลนที่สร้างไว้สำหรับ Luge

>> เมือง Queenstown ถ่ายลงมาจาก Bob's Peak

>> ทะเลสาบในรูป คือ Lake Wakatipu


วิวบน Bob’s Peak จะสามารถมองเห็นเมือง Queenstown ในมุมกว้าง รวมทั้ง Lake Wakatipu ที่อยู่ด้านล่าง และ The Remarkables เป็นแนวอยู่ไกลออกไป อากาศข้างบนหนาวยิ่งขึ้นไปอีก รวมทั้งลมค่อนข้างแรก ทำให้ไม่สามารถถ่ายรูปได้เยอะ เพราะยืนอยู่ซักพักก็ต้องเข้ามาหลบอากาศหนาวในตึก เนื่องจากไม่ได้เตรียมหมวกไปเลยต้องไปแวะซื้อที่ร้านขายของที่ระลึก นึกถึงตอนเดินกลับไปที่โรงแรมน่าจะหนาวยะเยือกทีเดียว



>> ป้ายบริเวณทางเข้า The Kiwi & Birdlife Park ซึ่งมีนกที่หายากอยู่ใน Park นี้หลายชนิด รวมทั้งนกกีวี

ใกล้ๆ กับทางขึ้น Gondola (Brecon Street) จะเป็นที่ตั้งของ Kiwi Birdlife Park ซึ่งเราสามารถที่จะเห็นนก Kiwi รวมทั้งนกประเภทอื่นๆ ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ได้ที่นี่ เนื่องจากเวลาที่เราผ่านไปนั้น Park ปิดแล้ว เลยไม่ได้แวะชมนก Kiwi จึงตั้งใจว่าจะมาแวะชมก่อนที่จะขับรถออกจากเมือง Queenstown

>> ทางเดินกลับมาที่พัก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากถนนคนเดิน (The Mall)


ทางเดินกลับไปยังโรงแรม จะผ่านถนนคนเดินที่เรียกว่า The Mall ในบริเวณนี้จะมีร้านขายของที่ระลึก ร้านขายเสื้อผ้า เครื่องประดับมากมายหลายร้าน รวมทั้งร้านอาหารที่มีให้เลือกอยู่หลายร้าน เราลองแวะเข้าร้านอาหาร Korean ที่เดินผ่านเนื่องจากเห็นจากรูปตรงป้ายโฆษณาบริเวณหน้าร้านดูน่ากินมากๆ ร้านนี้ชื่อ Kim’s Korean Restaurant & Bar เป็นร้านอาหารที่บริหารงานกันเองภายในครอบครัว เราจะสามารถมองเห็นภรรยาคุณ Kim กำลังง่วนเตรียมอาหารอยู่ในครัว โดยคุณ Kim จะเป็นคนที่คอยออกมาบริการลูกค้ารวมทั้งทำการย่างเนื้อให้กับลูกค้าด้วยตนเอง บางครั้งคุณ Kim ก็ต้องวิ่งเข้าไปช่วยภรรยาปรุงอาหารในครัว นอกจากนั้นก็จะมีลูกสาวคุณคิมที่มาช่วยคุณพ่อ คุณแม่เช่นกัน คอยเสริฟน้ำ ย่างอาหารให้ลูกค้าเวลาที่คุณพ่อยุ่งอยู่ ลูกสาวยังอยู่ในชุดนักเรียนอยู่เลย น่าชื่นชมจริงๆ ถ้าจะมาทานร้านนี้ต้องใจเย็นๆ เพราะเค้าทั้งทำเอง เสริฟเอง รวมทั้งเก็บเงินเองด้วย

>> ที่เห็นในรูปน่าจะเป็น Kalbi ถ่ายมาอาจจะดูไม่น่ากิน แต่ของจริงเนื้อนุ่มมากๆ แถมน้ำจิ้มก็อร่อย


>> กิมจิหลากหลายชนิดแบบเติมได้ไม่อั้น เสริฟมาพร้อมกับ Main Dish ที่เป็นพวกปิ้ง ย่าง

>> ในรูปคาดว่าน่าจะเป็น Bulgogi น้ำหมักเนื้ออร่อยมากค่ะ

วันที่เราไปมีอยู่ประมาณ 4 โต๊ะ ก็ต้องรับประทานกิมจิรองท้องกันไปก่อน แต่ขอบอกว่ากิมจิที่นี่ รสชาติอร่อยมาก อีกทั้งมีหลากหลายชนิด ทำให้เรากินกันเพลินไปเลย เราสั่งเนื้อมาหลายประเภท เพราะคุณแม่เองก็ไม่ค่อยรับประทานเนื้อวัวหรือเนื้อแกะ แต่คนที่เหลือ ทั้งคุณพ่อ พี่สาวและตัวเอง ชอบทานเนื้อมากๆ อีกทั้งที่ New Zealand เองก็มีชื่อในเรื่องของเนื้อแกะอยู่แล้ว เราก็ไม่พลาดที่จะต้องสั่งมาลอง น้ำที่ใช้หมักอาหารย่างทำได้รสชาติดีมาก ไม่หวานหรือเค็มเกินไป รสกำลังดีทีเดียว มื้อนี้เป็นอีกมื้อที่ประทับใจของ Trip นี้ ถ้ามีโอกาสกลับมาเที่ยวที่เมือง Queenstown อีกครั้ง จะต้องแวะมาอุดหนุนคุณ Kim อย่างแน่นนอน