Family Trip@New Zealand DAY 8

DAY 8: April 18, 2008 (Fri)

วันนี้เป็นวันที่เราตื่นเช้าที่สุดของ Trip นี้ เนื่องจากเราต้องออกเดินทางจากที่พักตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เพื่อให้ไปทันรอบล่องเรือชม Milford Sound ในเวลา 9 โมงเช้า ก่อนจะออกเดินทางจากเมือง Te Anau แนะนำให้เติมน้ำมันให้เต็มถัง เนื่องจากจะไม่มีปั๊มน้ำมันให้แวะเติม ระหว่างทางจาก Te Anau ถึง Milford Sound ซึ่งมีระยะทางประมาณ 119 km ระยะเวลาการขับรถจะใช้เวลาโดยประมาณ 2 ชั่วโมง การขับรถที่ New Zealand เราควรขับตามคำแนะนำของป้ายอย่างเคร่งครัด เนื่องจากที่นี่ค่อนข้างเข้มงวดในเรื่องของ Speed Limit และถนนที่เกาะใต้เองก็จะเป็นถนนที่ลัดเลาะไปตามภูเขา อีกทั้งบางเส้นทางเป็นถนนที่ต้อง Share กันทั้งรถที่สวนมาและรถไฟ ซึ่งเป็นถนนเพียงเลนเดียว ซึ่งจะมีเป็นช่วงๆ ที่ผ่านภูเขา หรือแม่น้ำ ดังนั้นก็จะต้องผลัดกันไประหว่างรถที่สวนมาอีกทางหนึ่ง แต่ก็ต้องคอยระวังรถไฟที่อาจจะผ่านมาด้วย


>> Homer Tunnel ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Milford Sound

แนะนำให้แต่งตัวให้อุ่นที่สุดสำหรับการล่องเรือในวันนี้ เนื่องจากช่วงที่เราไปเป็นช่วงเข้า Winter ดังนั้นลมทะเลจะค่อนข้างเย็นมาก ทางไปจะผ่านจุดชมวิวหลายจุด ซึ่งเราวางแผนจะแวะในตอนขากลับเนื่องจากต้องขับย้อนมาทางเดิมเพื่อไปยัง Queenstown ระหว่างทางไป Milford Sound เราจะต้องลอดอุโมงค์ที่ชื่อว่า Homer Tunnel ซึ่งเป็นอุโมงค์ลอดภูเขาที่มีระยะทางถึง 1219 เมตร ถนนในอุโมงค์จะเป็น Slope ลาดลงไปทาง Milford Sound





>> บริเวณ Milford Wharf มีเรือนำเที่ยวอยู่หลายเจ้า ราคาไม่ค่อยแตกต่างกันมาก


>> ลำที่จอดอยู่ข้างลำแดงจะเป็นลำที่เรานั่งในวันนี้

เนื่องจากรถส่วนตัว จะมีที่จอดแยกต่างหากซึ่งจะใช้เวลาเดินจากที่จอดรถไปที่ Milford Wharf Visitor Centre ประมาณ 15 นาที พวกที่มากับทัวร์สามารถลงที่หน้า Visitor Centre ได้เลย (พวกรถบัสสามารถขับเข้าไปรับ-ส่งผู้โดยสารได้ถึงหน้าประตูทางเข้า Visitor Centre) โดยปกติแล้วเราจะต้องมา check-in ประมาณ 20 นาที ก่อนที่เรือจะออก ดังนั้นควรจะต้องเผื่อเวลาไว้พอสมควร ระยะเวลาการล่องเรือ จะอยู่ที่ 1 ชั่วโมง 40 นาที โดยประมาณ ข้อดีของการล่องเรือในช่วงเช้าก็คือ จะมี Continental Breakfast บริการบนเรือ (Self Service) อาหารก็จะมีขนมปัง 2-3 ประเภท แฮม ชีส แยม เนย และเครื่องดื่มร้อนๆ

>> รูปนี้ถ่ายจากบนเรือเห็นยอดเขาอยู่ไกล แต่จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร


>> ที่เห็นไปน้ำไหลลงมาจากภูเขาคือน้ำตก ซึ่งดูเหมือนเล็กเนื่องจากถ่ายจากระยะไกลมาก

เราสามารถนั่งเลือกที่นั่งได้ตามใจชอบ เนื่องจากอากาศหนาวมากๆ เราเลยไม่ค่อยอยากจะเดินออกไปชมวิว ข้างนอกเรือเท่าไร นอกจากว่าเรือจะผ่านบริเวณที่เป็นน้ำตก (Stirling Falls) ซึ่งเราสามารถชมวิวได้ในระยะใกล้มากๆ วันนี้สงสัยอากาศหนาวเลยไม่มีแมวน้ำออกมานอนเล่นให้เห็น ถ้าโชคดีเราจะสามารถเห็นแมวน้ำ (Fur Seals) โลมา (Dolphins) หรือ เพนกวิน (crested penguins) ในบริเวณแถบนี้

>> น้ำตกนี้ชื่อว่า Stirling Falls


>> ทุกยอดเขาจะมีชื่อเรียกหมด แต่ถ่ายไปถ่ายมาจำไม่ได้ว่าชื่ออะไรบ้าง


Milford Sound คือ Fjord ที่มีความยาวถึง 15 km อยู่ในบริเวณ south west ของเกาะใต้ ประเทศ New Zealand โดยอยู่ในบริเวณของ Fiord National Park และบริเวณนี้ก็อยู่ในส่วนที่เรียกว่า Te Wahipounamu ซึ่งได้ถูกขึ้นทะเบียนอยู่ใน World Heritage List

>> ที่เห็นเป็นขาวๆ อยู่บนยอด คาดว่าน่าจะเป็นหิมะ


เรือจะวิ่งผ่านภูเขาที่มีชื่อเรียกตามรูปร่างของมัน เช่น The Lion หรือจะตั้งชื่อจุดเด่นของบริเวณนั้น รวมทั้งประวัติความเป็นมาของภูเขา เช่น Copper Point ที่มี Copper สะสมในปริมาณมาก รวมทั้งน้ำตกที่จะไหลมาจากภูเขาลงสู่ทะเล ที่เด่นๆ ก็จะมีน้ำตกที่ชื่อ Stirling Falls ที่เรือทุกลำต้องแวะเข้าไปใกล้ๆ และ Bowen Falls ที่สูงถึง 160 เมตร



>> นี่แหละที่เค้าเรียกว่า The Chasm


>> อีกมุมของ The Chasm


>> ถ้าอยากรู้ว่า The Chasm เกิดมาได้อย่างไร ต้องลองอ่านป้ายดูค่ะ


>> ระหว่างติดไฟแดงอยู่หน้า Homer Tunnel หิมะก็ตกลงมาปรอยๆ นี่เป็น first snow ของที่นี่เลยค่ะ

หลังจากเสร็จจากการล่องเรือ เราขับรถย้อนกลับไปทาง Te Anau เพื่อไปยัง Queenstown ซึ่งตลอดเส้นทางมีจุดให้แวะชมวิวมากมาย ช่วงที่เราขับรถย้อนกลับมาทาง Homer Tunnel และกำลังติดไฟแดงรอรถอีกฝั่งวิ่งสวนมา snow ก็ตกโปรยปรายลงมา เห็นคน New Zealand บอกว่านี่เป็น First Snow ของ Season นี้เลย เราโชคดีที่ได้เห็นพอดีเลย เลยจากบริเวณนี้มา snow ก็หยุดตก จุด Stop ที่เราจะแวะจุดแรกมีชื่อเรียกว่า The Chasm ซึ่งเจ้าของที่พักของคืนที่ผ่านมาแนะนำว่า ต้องแวะชมให้ได้ ซึ่งการจะไปดู The Chasm จะใช้เวลาเดินโดยประมาณ 20 นาที จะสามารถเห็น Cleddau River อยู่ด้านล่าง

มีนกประเภทหนึ่งซึ่งเป็นนกท้องถิ่น ซึ่งพบมากบริเวณแถบนี้มีชื่อเรียกว่า Keas เป็นนกที่ขี้สงสัย ไม่ค่อยกลัวชอบมาใกล้ๆ บริเวณรถที่จอดอยู่ แต่ที่นี่จะมีป้ายเตือนว่า ห้าม feed นกโดยเด็ดขาด เนื่องจากการทำเช่นนี้จะมีผลเสียต่อการอยู่รอดของมันเอง จาก The Chasm เราก็จะผ่านจุดแวะชมวิวมากมายเช่น The Divide, Key Summit, และ Lake Gunn แต่เราก็ไม่ได้แวะ จนกระทั่งมาถึง Knobs Flat ซึ่งเป็นจุดแวะพักสำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งจะมีห้องน้ำและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ที่จำเป็น รวมทั้งโทรศัพท์สาธารณะ จุดถัดไปที่เราแวะชื่อว่า Mirror Lakes ซึ่งเป็นทะเลสาบที่น้ำนิ่งมากๆ จนสามารถมองเห็นเงาสะท้อนของภูเขาที่อยู่ด้านหลังได้อย่างชัดเจน จากนั้นเราก็ขับตรงต่อไปยัง Te Anau เพื่อแวะรับประทานอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหารจีนที่เราติดใจกันเมื่อวานนี้ จากนั้นก็ขับตรงต่อไปยังเมือง Queenstown ที่จะเป็นที่พักของคืนนี้

>> ถ่ายรูปถนนระหว่างทางจากเมือง Milford Sound ย้อนกลับไปที่เมือง Te Anau


>> พยายามถ่ายรูปน้องแกะระหว่างขับรถผ่าน อ้วนท้วนน่ารักจริงๆ มีสัตว์อีกชนิดนึงที่นิยมเลี้ยง ซึ่งก็คือ Alpaca แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดูกัน

จากที่เราได้ค้นคว้าข้อมูลกันมาก่อนมาเที่ยวครั้งนี้ จะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่นึงที่คนนิยมมาเที่ยว จะอยู่ก่อนถึงเมือง Queenstown ประมาณ 12 km ที่ชื่อว่า Deer Park Heights แต่เนื่องจากเราหาทางเข้าไม่เจอ เราก็เลยไม่ได้แวะกัน Deer Park Heights จะเป็นคล้ายๆ กับสวนสัตว์เปิด มีสัตว์เป็นจำนวนมาก และยังคงเป็นจุดชมวิวของเมือง Queenstown และ Lake Wakatipu ที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง และสามารถมองเห็นวิวของ The Remarkables ranges ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งบริเวณนี้ยังเคยใช้เป็นฉากในหนัง Lord of the rings อีกด้วย น่าเสียดายที่ไม่ได้แวะชม

โรงแรมที่พักคืนนี้อยู่ในตัวเมือง Queenstown เลย (Novotel Gardens Hotel) จึงค่อนข้างสะดวกเวลาที่จะเดินเล่นซื้อของในเมืองหรือจะแวะไปขึ้น Skyline Gondola เพื่อชมวิวในยามหัวค่ำ เมือง Queenstown มีชื่อเสียงในเรื่องของ Adventure Activities (The 'Adventure Capital of the World') มาเที่ยวที่ Queenstown ในครั้งนี้ เราก็ตั้งใจว่าจะต้องลองเล่น Shotover Jet ซึ่งเพื่อนที่เคยมาก็แนะนำว่าน่าลองมากๆ ซึ่งจะต้องจองกันล่วงหน้าแต่เรากะว่าจะไปดูสถานที่กันก่อน ซึ่งถ้าพอมีเวลาเหลือในตอนเช้าก็จะทดลองนั่งดู


>> ถ่ายจากใน Gondola ระหว่างทางขึ้นไปยัง Bob's Peak


>> บริเวณทางเดินไปยังทางขึ้น Skyline Gondola ที่เมือง Queenstown


หลังจากที่ check-in เรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมตัวที่จะออกไปเดินเล่นชมเมือง Queenstown ซึ่งจะต้องเตรียมทั้งถุงมือ ผ้าพันคอและใส่เสื้อหนาวให้อุ่นเนื่องจากอากาศวันนี้หนาวมาก น่าจะอยู่ราวๆ 0-5 °C อีกทั้งเราตั้งใจว่าจะเดินไปเนื่องจากแต่ละที่ที่เราจะไปอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม ระยะทางจากโรงแรมไปที่ Skyline Gondola น่าจะใข้เวลาเดินโดยประมาณ 20 นาที แต่ก็เดินกันเหนื่อยพอสมควรเนื่องจากทางขึ้น Gondola อยู่บริเวณเนินเขา อีกทั้งต้องเดินขึ้นบันไดกันหลายขั้นทีเดียว นักท่องเที่ยวสามารถซื้อเฉพาะตั๋วที่จะนั่ง Gondola (ไป-กลับ) เพื่อขึ้นไปยัง Bob’s Peak หรือจะซื้อเป็นตั๋ว Gondola พร้อมกับบัตรรับประทานอาหารบนยอดเขาหรือบัตรชม Kiwi Haka Show บนยอดเขาจะมีเครื่องเล่นที่เรียกว่า Luge ที่เป็นที่นิยมของหลายๆ คน จะเป็นที่เลื่อนท้องแบนน้ำหนักเบา มีด้ามยาวๆ ให้จับสองข้างสำหรับเป็นคันบังคับทิศทาง โดยสามารถแล่นลงมาตามเนินที่อยู่บนยอดเขา โดยจะสร้างเป็นถนนต่างหากสำหรับเครื่องเล่นนี้ ซึ่งดูน่าสนุกทีเดียว แต่น่าจะเหมาะสำหรับการเล่นช่วงที่อากาศไม่หนาวอย่างนี้




>> ที่เห็นไปถนนด้านล่างคือ เลนที่สร้างไว้สำหรับ Luge

>> เมือง Queenstown ถ่ายลงมาจาก Bob's Peak

>> ทะเลสาบในรูป คือ Lake Wakatipu


วิวบน Bob’s Peak จะสามารถมองเห็นเมือง Queenstown ในมุมกว้าง รวมทั้ง Lake Wakatipu ที่อยู่ด้านล่าง และ The Remarkables เป็นแนวอยู่ไกลออกไป อากาศข้างบนหนาวยิ่งขึ้นไปอีก รวมทั้งลมค่อนข้างแรก ทำให้ไม่สามารถถ่ายรูปได้เยอะ เพราะยืนอยู่ซักพักก็ต้องเข้ามาหลบอากาศหนาวในตึก เนื่องจากไม่ได้เตรียมหมวกไปเลยต้องไปแวะซื้อที่ร้านขายของที่ระลึก นึกถึงตอนเดินกลับไปที่โรงแรมน่าจะหนาวยะเยือกทีเดียว



>> ป้ายบริเวณทางเข้า The Kiwi & Birdlife Park ซึ่งมีนกที่หายากอยู่ใน Park นี้หลายชนิด รวมทั้งนกกีวี

ใกล้ๆ กับทางขึ้น Gondola (Brecon Street) จะเป็นที่ตั้งของ Kiwi Birdlife Park ซึ่งเราสามารถที่จะเห็นนก Kiwi รวมทั้งนกประเภทอื่นๆ ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ได้ที่นี่ เนื่องจากเวลาที่เราผ่านไปนั้น Park ปิดแล้ว เลยไม่ได้แวะชมนก Kiwi จึงตั้งใจว่าจะมาแวะชมก่อนที่จะขับรถออกจากเมือง Queenstown

>> ทางเดินกลับมาที่พัก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากถนนคนเดิน (The Mall)


ทางเดินกลับไปยังโรงแรม จะผ่านถนนคนเดินที่เรียกว่า The Mall ในบริเวณนี้จะมีร้านขายของที่ระลึก ร้านขายเสื้อผ้า เครื่องประดับมากมายหลายร้าน รวมทั้งร้านอาหารที่มีให้เลือกอยู่หลายร้าน เราลองแวะเข้าร้านอาหาร Korean ที่เดินผ่านเนื่องจากเห็นจากรูปตรงป้ายโฆษณาบริเวณหน้าร้านดูน่ากินมากๆ ร้านนี้ชื่อ Kim’s Korean Restaurant & Bar เป็นร้านอาหารที่บริหารงานกันเองภายในครอบครัว เราจะสามารถมองเห็นภรรยาคุณ Kim กำลังง่วนเตรียมอาหารอยู่ในครัว โดยคุณ Kim จะเป็นคนที่คอยออกมาบริการลูกค้ารวมทั้งทำการย่างเนื้อให้กับลูกค้าด้วยตนเอง บางครั้งคุณ Kim ก็ต้องวิ่งเข้าไปช่วยภรรยาปรุงอาหารในครัว นอกจากนั้นก็จะมีลูกสาวคุณคิมที่มาช่วยคุณพ่อ คุณแม่เช่นกัน คอยเสริฟน้ำ ย่างอาหารให้ลูกค้าเวลาที่คุณพ่อยุ่งอยู่ ลูกสาวยังอยู่ในชุดนักเรียนอยู่เลย น่าชื่นชมจริงๆ ถ้าจะมาทานร้านนี้ต้องใจเย็นๆ เพราะเค้าทั้งทำเอง เสริฟเอง รวมทั้งเก็บเงินเองด้วย

>> ที่เห็นในรูปน่าจะเป็น Kalbi ถ่ายมาอาจจะดูไม่น่ากิน แต่ของจริงเนื้อนุ่มมากๆ แถมน้ำจิ้มก็อร่อย


>> กิมจิหลากหลายชนิดแบบเติมได้ไม่อั้น เสริฟมาพร้อมกับ Main Dish ที่เป็นพวกปิ้ง ย่าง

>> ในรูปคาดว่าน่าจะเป็น Bulgogi น้ำหมักเนื้ออร่อยมากค่ะ

วันที่เราไปมีอยู่ประมาณ 4 โต๊ะ ก็ต้องรับประทานกิมจิรองท้องกันไปก่อน แต่ขอบอกว่ากิมจิที่นี่ รสชาติอร่อยมาก อีกทั้งมีหลากหลายชนิด ทำให้เรากินกันเพลินไปเลย เราสั่งเนื้อมาหลายประเภท เพราะคุณแม่เองก็ไม่ค่อยรับประทานเนื้อวัวหรือเนื้อแกะ แต่คนที่เหลือ ทั้งคุณพ่อ พี่สาวและตัวเอง ชอบทานเนื้อมากๆ อีกทั้งที่ New Zealand เองก็มีชื่อในเรื่องของเนื้อแกะอยู่แล้ว เราก็ไม่พลาดที่จะต้องสั่งมาลอง น้ำที่ใช้หมักอาหารย่างทำได้รสชาติดีมาก ไม่หวานหรือเค็มเกินไป รสกำลังดีทีเดียว มื้อนี้เป็นอีกมื้อที่ประทับใจของ Trip นี้ ถ้ามีโอกาสกลับมาเที่ยวที่เมือง Queenstown อีกครั้ง จะต้องแวะมาอุดหนุนคุณ Kim อย่างแน่นนอน

No comments:

Post a Comment